วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เสือ

เสือ (อังกฤษ: big cat) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์ฟิลิดีซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับแมวโดยชนิดที่เรียกว่าเสือมักมีขนาดลำตัวค่อนข้างใหญ่กว่า[1]และอาศัยอยู่ภายในป่า ขนาดของลำตัวประมาณ 168 - 227 เซนติเมตรและหนักประมาณ 180 - 245 กิโลกรัม[2] รูม่านตากลม เป็นสัตว์กินเนื้อกลุ่มหนึ่ง มีลักษณะและรูปร่างรวมทั้งพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากสัตว์ในกลุ่มอื่น หากินเวลากลางคืน มีถิ่นกำเนิดในป่า เสือส่วนใหญ่ยังคงมีความสามารถในการปีนป่ายต้นไม้ ซึ่งยกเว้นเสือชีต้า เสือทุกชนิดมีกรามที่สั้นและแข็งแรง มีเขี้ยว 2 คู่สำหรับกัดเหยื่อ ทั่วทั้งโลกมีสัตว์ที่อยู่ในวงศ์เสือและแมวประมาณ 37 ชนิด ซึ่งรวมทั้งแมวบ้านด้วย

เสือจัดเป็นสัตว์นักล่าที่มีความสง่างามในตัวเอง โดยเฉพาะเสือขนาดใหญ่ที่แลดูน่าเกรงขราม ไม่ว่าจะเป็นเสือโคร่งหรือเสือดาว ผู้ที่พบเห็นเสือในครั้งแรกย่อมเกิดความประทับใจในความสง่างาม แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดความหวาดหวั่นเกรงขามในพละกำลังและอำนาจภายในตัวของพวกมัน เสือจึงได้รับการยกย่องให้เป็นราชาแห่งสัตว์ปา และเป็นจ้าวแห่งนักล่าอย่างแท้จริง [3]

ปัจจุบันจำนวนของเสือในประเทศไทยลดจำนวนลงเป็นอย่างมากในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี เสือกลับถูกล่า ป่าภายในประเทศถูกทำลายเป็นอย่างมาก สภาพธรรมชาติในพื้นที่ต่าง ๆ ถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของมนุษย์เอง ทุกวันนี้ปริมาณของเสือที่จัดอยู่ในลำดับสุดท้ายของห่วงโซ่อาหารถือเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการสูญสิ้นหรือลดจำนวนลงอย่างมากของเสือซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อ จะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างและระบบนิเวศทั้งหมด การลดจำนวนอย่างรวดเร็วของเสือเพียงหนึ่งหรือสองชนิดในประเทศไทย ทำให้ปริมาณของสัตว์กินพืชเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้ธรรมชาติเสียความสมดุลในที่สุด

สิงโต

สิงโต (อังกฤษ: lion) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีกระดูกสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อยู่ในวงศ์ Felidae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับแมว สิงโตมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera leo มีขนาดลำตัวใหญ่ ขนาดไล่เลี่ยกับเสือโคร่งทั่วไป (P. tigris) ซึ่งเป็นสัตว์ในสกุล Panthera เหมือนกัน จัดเป็นสัตว์ในวงศ์ Felidae ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดรองมาจากเสือโคร่งไซบีเรีย (P. t. altaica) พื้นลำตัวสีน้ำตาล ไม่มีลาย ตัวผู้เมื่อโตเต็มที่จะมีขนสร้อยคอยาว ขนปลายหางเป็นพู่ ชอบอยู่เป็นฝูงตามทุ่งโล่ง มีน้ำหนักประมาณ 250 กิโลกรัม (550 ปอนด์) ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่า มักทำหน้าที่ล่าเหยื่อ มีน้ำหนักประมาณ 180 กิโลกรัม (400 ปอนด์) มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาและประเทศอินเดีย ในป่าธรรมชาติ สิงโตมีอายุขัยประมาณ 10-14 ปี ส่วนสิงโตที่อยู่ในกรงเลี้ยงมีอายุยืนถึง 20 ปี

วัวแดง(วัวเพาะ หรือ วัวดำ)

ลักษณะทั่วไป
เป็นวัวป่าชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายวัวบ้าน แต่มีลักษณะสำคัญที่ต่างไปจากวัวบ้านและกระทิงคือ มีวงก้นขาวทั้งในตัวผู้และตัวเมีย มีเส้นขาวรอบจมูก ขาทั้ง 4 ข้างมีสีขาวตั้งแต่หัวเข่าจนถึงกีบเท้า ระหว่างโคนขาของตัวผู้ไม่มีขน แต่เป็นหนังตกกระแข็ง ๆ เรียกว่า "กระบังหน้า" ความยาวลำตัวและหัวประมาณ 190 - 255 เซนติเมตร หางยาว 65 - 70 เซนติเมตร สูงประมาณ 155 - 165 เซนติเมตร และมีน้ำหนักราว 600 - 800 กิโลกรัม


ถิ่นอาศัย, อาหาร
พบในพม่า ไทย อินโดจีน ชวา บอร์เนียว เกาะบาหลี ซาราวัค เซลีเบส สำหรับประเทศไทยเคยพบได้ทุกภาค
วัวแดงกินหญ้าอ่อน ๆ ใบไผ่อ่อน หน่อไม้อ่อน ลูกไม้ป่าบางชนิด ใบไม้ ยอดอ่อนของพืช และดอกไม้ป่าบางชนิด

พฤติกรรม, การสืบพันธุ์
ชอบหากินอยู่เป็นฝูง ไม่ใหญ่นัก ราว 10-15 ตัว ปกติจะเริ่มออกหากินตั้งแต่ตอนพลบค่ำไปจนถึงเช้าตรู่ กลางวันนอนหลบตามพุ่มไม้ทึบ ชอบอยู่ตามป่าโปร่งหรือป่าทุ่ง ชอบกินดินโป่งไม่ชอบนอนแช่ปลัก รักสงบ ปกติไม่ดุร้าย หากินโดยมีตัวเมียเป็นจ่าฝูง
วัวแดงเริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่อมีอายุ 2 ปีเศษ ระยะตั้งท้องนาน 8-10 เดือน ปกติออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกหย่านมเมื่อมีอายุราว 9 เดือน หลังคลอดลูกราว 6-9 เดือน แม่วัวแดงจะเป็นสัดและรับการผสมพันธุ์อีก มีอายุยืนประมาณ 30 ปี

สถานภาพปัจจุบัน
เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535

สถานที่ชม
สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์เปิดเขาเขียว สวนสัตว์เชียงใหม่ สวนสัตว์สงขลา

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

กว่าง : แมลงนักสู้ผู้สง่างาม

ฤดูฝนอันชุ่มฉ่ำ ส่งให้มวลต้นไม้เขียวขจี แตกกิ่งก้านสาขา งอกงามเพื่อออกดอก ออกผล เหล่าไม้ยืนต้นมีอายุเพิ่มขึ้นอีกขวบปี ลูกไม้เล็กๆ พร้อมจะเจริญเติบโต เป็นต้นใหม่ แมลงหลายชนิดถึงวงจร โตเป็นตัวเต็มวัย กลายเป็นวัยเจริญพันธุ์เพื่อสืบลูกหลานต่อไป ถ้าเรายกให้แมลงทับผู้มีสีสันสวยงามเป็นราชินีแห่งมวลแมลงทั้งหลาย คงปฏิเสธไม่ได้ว่าราชาของแมลง คือ กว่าง นั่นเอง ด้วยมีรูปร่าง สีสัน สวยงาม ลีลาท่าทางสง่างาม ไม่ต่างไปจากการเยื้องย่างของม้าเลย

กว่าง เป็นแมลงอีกชนิดหนึ่งที่มาพร้อมกับสายฝน ผู้คนต้อนรับ อย่างเป็นมิตร ด้วยวงจรของกว่าง ไม่ได้เป็นศัตรูแก่เกษตรกร แต่กลับ มีคุณค่าทางจิตใจสำหรับชาวชนบทภาคเหนือ โดยเฉพาะ

กว่างเป็นแมลงตระกูลด้วงปีกแข็ง ตัวผู้จะมีลักษณะสง่างาม ความเป็นนักสู้ที่มีลีลาการต่อสู้ ที่คล่องแคล่วความมีเสน่ห์ ของกว่างนอกจากรูปร่างท่าทางแล้วยังเป็นแมลงชนิดเดียวที่อยู่ภายใต้อาณัติการ ควบคุมของคน ไม่ว่าต้องการให้เดินไป ทางซ้าย ขวา หน้า หรือหลัง กว่างทำได้ดั่งใจคนเสมอ ด้วยเหตุนี้ กว่างจึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนเสมอมา
กว่างจะมีวงจรในรอบหนึ่งปี ในระยะที่เป็นตัวหนอนหรือตัวด้วงจะมีสีขาว ตัวโต มีความยาวประมาณ 5 - 6 เซนติเมตร และเส้นรอบวง ประมาณ 1 นิ้ว ในช่วงนี้จะอยู่ในดินชอบกินเศษใบไม้ผุ ตอไม้หรือต้นไม้ที่ผุ เป็นการช่วยธรรมชาติในการย่อยสลายใบไม้ต้นไม้ให้กลายเป็นปุ๋ยแก่ดินได้เป็นอย่างดี ต่อมากลายเป็น ดักแด้และตัวเต็มวัยเป็นวัยเจริญพันธุ์พร้อมสืบเผ่าพันธุ์ได้ ในช่วงที่เป็น ตัวหนอนถึงตัวเต็มวัยใช้เวลา ประมาณ 1 - 2 เดือน ก่อนที่จะถึงฤดูฝน เมื่อฝนตกลงมาทำให้ดินอ่อน
ด้วงกว่างที่เจริญเติบโตเต็มที่ก็จะดันดินออกมาสู่โลกภายนอกเพื่อหาแหล่งอาหารใหม่และเพื่อการผสมพันธุ์ กว่างตัวผู้ที่แข็งแรงเท่านั้นที่มีโอกาสรอดเพื่อการผสมพันธุ์ โดยกว่างจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงตัวเมียและฝ่ายที่ชนะ ก็จะได้รับรางวัลได้ผสมพันธุ์กับตัวเมีย เป็นการคัดเลือกสายพันธ์ที่ดีตามธรรมชาติ
กอนกว่าง เป็นแหล่งหาอาหารของกว่างที่โตเต็มวัย มักพบเจอกว่างบริเวณกอไผ่ที่มีหน่อไม้ เด็ก ๆ ที่ชอบ เล่นกว่างมีวิธี จับกว่าง โดยใช้เกิ๋นพาดไปยังกอไผ่แล้วปีนขึ้นไป เขย่าให้กว่างที่เกาะอยู่หล่นลงมา ผู้อยู่ข้างล่าง ก็จะวิ่งเก็บ นอกจากพบเจอกว่าง บริเวณกอไผ่แล้วยังสามารถหากว่างได้ตามต้นคราม ที่มีดอก สีน้ำเงิน ชาวบ้าน นิยมนำมาทำเป็นสีย้อมเสื้อผ้าหม้อฮ่อม อาหารที่กว่างชอบเป็นพิเศษ ได้แก่ หน่อไผ่ ใบคราม หรือเปลือกไม้อื่น ๆ เช่น ไม้แพ่ง ไม้มะกอก เป็นต้น
หลังจากได้กว่างมาจากป่าแล้วชาวบ้าน โดยเฉพาะเด็ก ๆ จะนำมาเลี้ยง โดยผูกเชือกที่เขากว่างติดกับไม้ และให้อาหาร ที่กว่างชอบ คือ อ้อย
กว่างตัวเมียเหยื่อล่อตามธรรมชาติ ชื่อกว่างแม่อีลุ้ม เป็นกว่างที่ไม่มีเขา แต่มีเสน่ห์ยั่วยวนใจแก่กว่างตัวผู้ ทั้งหลายอันได้แก่
กว่างกิกว่างตัวเล็ก เขาสั้น ไม่สมบูรณ์
กว่างแซม มีลักษณะดี ท่าทางสง่างาม คล่องแคล่ว ตัวขนาดกลาง
กว่างซ่ง เป็นกว่างที่มีลักษณะดีที่สุด ตัวโต สง่างาม เขายาว สีสันสวย
สีของกว่างจะมีสีแดงเปลือกมังคุด มันเงา ไปจนถึงสีดำมันเงาเหมือนสีของเฟอร์นิเจอร์ เช่น เปียโน หรือเครื่องเสียงชั้นดีจากต่างประเทศ ที่เป็นสีมะฮอกกานี สีแดงของไม้มะค่า กว่างบางตัวมีสีดำเหมือน สียางไม้รัก ชาวบ้านเรียกชื่อกว่างตามสี เช่น ถ้ากว่างสีดำออกแดงเรียกว่ากว่างรักน้ำใส ถ้าสีดำสนิทเรียกว่า กว่างรักน้ำปู๋
กว่างให้ความบันเทิงใจแก่ผู้คน มีเกมการแข่งขันที่ชาวบ้านนิยมเล่นกัน เรียกว่า ชนกว่าง นิยมเล่นในช่วงหน้าฝนที่มีกว่างออกมาก

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

กว่างประเภทต่างๆ

กว่างกิ เป็นกว่างตัวผู้ที่มีเขาข้างบนสั้น (กิแปลว่าสั้น) เขาบนจะออกจากหัวออกมานิดเดียว กว่างกิจะต่อสู้หรือชนกันโดยใช้เขาล่างงัดกัน แต่ไม่สามารถใช้เขาหนีบคู่ต่อสู้ได้ จึงไม่นิยมนำมาใช้เป็นกว่างชน กว่างกิมี 2 ชนิดคือ กว่างกิขี้หมู ซึ่งเป็นด้วงที่เกิดในบริเวณมูลสุกรเก่า ตัวเล็ก มักมีสีน้ำตาลแดง และ กว่างกิทุย เป็นกว่างกิที่มีตัวใหญ่ขนาดใกล้เคียงกับกว่างโซ้ง แต่เขาสั้นกว่า ลำตัวมีสีน้ำตาลอมดำ (ทุย แปลว่า กระเทย หรือ ครึ่งๆ กลางๆ)    

กว่าง กว่างกิ กว่างโซ้ง

ลักษณะ

จัดอยู่ในประเภทแมลงปีกแข็ง ตัวผู้จะมีเขายื่นไปข้างหน้าและโค้งลงตอนปลายแยกเป็นสองแฉก ตัวเมียไม่มีเขา ชอบกินน้ำหวาน จากอ้อย กล้วยน้ำว้าสุก หรือน้ำหวานจากพืชอื่น ๆ กว่างมีหลายชนิดเช่นกว่างกิ เป็นกว่างตัวผู้สีน้ำตาล มีเขาบนสั้นกว่าเขาล่างจัดเป็นกว่างขนาด เล็ก กว่างกิทุย มีขนาดใหญ่กว่า สีตัวเข้มกว่าและเขายาวกว่ากว่างกิธรรมดา แต่ยังสั้นกว่ากว่างโซ้งหรือกว่างแซม กว่างซาง กว่างห้าเขา หรือด้วง ห้าเขา กว่างชนิดนี้ตัวใหญ่มากตัวสีน้ำตาล ปีกแข็งสีน้ำตาลอ่อนหรือออกนวล ส่วนหัวสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ตัวผู้มีเขาบนสี่เขาเขาล่างหนึ่งเขา กว่างแซม กว่างตัวผู้คล้ายกว่างโซ้งแต่สีอ่อนกว่าและมักจะส่งเสียงมากกว่ากว่างโซ้งหรือกว่างชนิดอื่น กว่างโซ้ง กว่างตัวผู้ตัวโตเขายาว มีสองสี คือสีดำเรียกว่ากว่างฮักแต่ถ้าดำสนิทจะเรียกว่ากว่างฮักน้ำปู๋ สีน้ำตาลเข้มออกแดงเรียกว่ากว่างหาง กว่างโซ้งนี้นิยมใช้เป็นกว่างชนเพราะมีขนาด ใหญ่ กว่างแม่โหมะ กว่างอี่หลุ้มเป็นกว่างตัวเมีย
แหล่งที่พบ

พบทั่วไปในแปดจังหวัดภาคเหนือตอนบน ช่วงระยะเวลาในระหว่างเข้าพรรษาประมาณเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม เพราะ เมื่อผสมพันธ์ วางไข่แล้ว กว่างก็จะตายไปตามธรรมชาติ
ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน

ในฤดูเข้าพรรษา ชาวล้านนามีการเล่นที่ถือว่าเป็นการบันเทิงมากกว่าที่จะตั้งใจให้เป็นการพนันขันต่อ นั่นคือการ "ชนกว่าง" เป็น การบันเทิงยามค่ำคืนหรือเป็นกีฬาพื้นบ้านราคาถูก เพราะกว่างเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย อุปกรณ์ในการชนกว่างประกอบด้วย "ไม้กลอนชนกว่าง" หรือ เป็นเวทีชนกว่างนิยมใช้ใช้ไม้ที่มีน้ำหนักเบา อาทิไม้นุ่น ไม้ปอกระเจา หรือง่ายที่สุดก็ใช้ท่อนอ้อยปลอกเปลือกให้ได้ความยาวขนาดพอเหมาะก็ถือ ว่าใช้ได้ นอกจากนี้ก็จะมีไม้หลิ้ง คือไม้ที่ใช้สำหรับให้สัญญาณกว่างให้เดินหน้า ถอยหลัง เลี้ยวซ้าย หรือเลี้ยวขวาเป็นต้น ไม้หลิ้ง ไม้ผั่น หรือไม้ปั่น กว่างนี้จะทำให้มีลักษณะให้ปลายแหลมตรงกลางทำให้เป็นเหลี่ยม ช่วงที่ใช้มือหมุนจะทำให้กลม ระหว่างช่วงกลางก่อนจะถึงมือหมุน ทางแพร่น่าน นิยมตัดสังกะสีเป็นแผ่นเล็กๆติดไว้ เมื่อปั่นไม้จะเกิดเสียงดัง หลิ้ง...หลิ้ง.. เมื่อกว่างได้ยินเสียงก็จะเกิดปฏิกิริยาเคลื่อนไหว
กติกาการชนกว่าง นิยมยึดหลัก "สามหลุ้ม" หมายความว่าถ้ากว่างตัวผู้ชนกันแล้ว ตัวไหนถอยหนี 3 ครั้ง ถือว่าแพ้ ในการถอยหนี แต่ละครั้งนั้นเจ้าของจะให้ดมกว่างอีหลุ้มซึ่งเป็นกว่าตัวเมีย เป็นตัวล่อให้หันกลับเข้ามาต่อสู้อีก ซึ่งมักได้ผลเกือบทุกครั้ง
การชนกว่างนี้ ไม่เพียงนิยมในระดับชาวบ้านเท่านั้น พระชายาเจ้าดารารัศมีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรง โปรดกีฬาชนกว่างเป็นอย่างมาก ในช่วงเดือน 12 หรือเดือนกันยายน ถึงกับโปรดเกล้าให้สร้างผาม (ปะรำ) ขนาดใหญ่ เพื่อใช้เป็นสนามชนกว่าง ทรงสั่งกว่างชั้นเยี่ยมจากลำพูน ลำปาง อำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ มาเลี้ยงดูฝึกปรือเพื่อเอาไว้เป็นกว่างชนที่มีชื่อเสียง ทรงชักชวนชาวบ้านที่ ชอบกีฬาชนกว่างมาร่วมชุมนุมกันที่ ตำหนักสวนสบาย อำเภอแม่ริมเป็นประจำ
การตั้งกว่าง หรือการจับกว่างมาเลี้ยง สามารถเอากว่างชนิดใดก็ได้ มัดไว้กับท่อนอ้อยแล้วห้อยไว้ที่ชายคาบ้าน ไม่นิยมห้อยนอก ชายคาบ้านเพราะสัตว์อื่นอาจมาทำร้าย ในตอนกลางคืนจะมีกว่างตัวอื่นบินมาเกาะ ผู้ตั้งกว่างจะต้องตื่นออกมาดูแต่เช้ามืดมิเช่นนั้นแล้วหากมีกว่าง อื่นมาติดก็จะบินหนีไปเสียก่อน อย่างไรก็ตามนักชนกว่างไม่นิยมใช้กว่างโซ้งเป็นกว่างตั้ง เพราะเกรงว่าถ้ามีกว่างอี่หลุ้มหรือกว่างตัวเมียมาเกาะติด กว่างโซ้งจะผสมพันธ์ก่อนที่จะนำไปชนทำให้เสียแรง
การชนกว่างเป็นกีฬาพื้นบ้านล้านนาที่นิยมกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่ได้สร้างความบันเทิงใจและเป็นกีฬาที่ไม่ถือว่าโหดร้าย ทารุณสัตว์อะไรมากนัก เพราะตามธรรมชาติกว่างก็ชนกันเป็น "ศึกชิงนาง" อยู่แล้วไม่ถึงกับเลือดตกยางออกแต่ประการใด
.................................................................
เอกสารอ้างอิง

อุปกรณ์ที่ใช้ในการชนกว่าง

ไม้คอน คือ ท่อนไม้กลมเป็นเหมือนเวทีประลองของกว่าง ทำด้วยต้นปอ หรือท่อนไม้ฉำฉา ยาวประมาณ 80-100 เซนติเมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 เซนติเมตร ตรงกลางเจาะรู้สำหรับใส่กว่างตัวเมีย จากด้านล่างให้โผล่เฉพาะส่วนหลัง พอให้มีกลิ่น ส่วนด้านล่างใช้เศษผ้าอุดแล้วปิดด้วยฝาไม้ที่ทำเป็นสลักเลื่อนเข้าอีกที เพื่อกันไม่ให้กว่างตัวเมียถอยตัวออก คอนชนิดนี้มีไว้สำหรับฝึกซ้อมให้กว่างชำนาญในการชน  

กว่างมีหลายชนิด ได้แก่

กว่างโซ้ง (ซ่ง) เป็นกว่างตัวผู้ขนาดใหญ่ที่มีลักษณะดีที่สุด ตัวโต สง่างาม เขายาวและหนาทั้งข้างล่างข้างบน ลำตัวสีน้ำตาลแดง สีสันสวยงาม กว่างชนิดนี้มักจะส่งเสียง "ซี่ ๆ" ตลอดเวลา นิยมใช้ชนกัน ลักษณะของกว่างโซ้งที่ดีนั้น ต้องมีหน้ากว้าง กางเขาออกได้เต็มที่ เขาล่างจะยาวกว่าเขาบนนิดหน่อย ถ้าเขาล่างยาวกว่าเขาบนก็จะเรียกว่า "กว่างเขาหวิด" ถือว่าหนีบไม่แรง ไม่แน่น

เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม

ภาพกองเชียร์ทั้งรุ่นเด็ก รุ่นเดอะ เปล่งเสียงเฮลั่น ออกลีลาอย่างเมามันส์ สลับกันเสียงไม้เคาะโป๊กๆ เป็นภาพที่ไม่คุ้นตานักสำหรับคนต่างถิ่นที่มาเยือนแผ่นดินล้านนาในช่วงฤดูฝน ผู้มาเยือนจะรู้ไหมว่า เสียงและภาพที่เห็นนั้น เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า เกมการแข่งขันของลูกผู้ชาย กำลังเริ่มต้นขึ้น และนี่คือชีวิตที่ต้องต่อสู้ โดยมีศักดิ์ศรีเป็นเดิมพันของ "กว่าง" ราชาแห่งแมลง

กว่าง......กับความทรงจำในวัย(ละอ่อน)เด็ก

ในวัยเด็ก......ผมมักจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมต้องตื่นเช้าๆ และ ต้องรีบแต่งตัวไปรอรถเดือน เพื่อเดินทางไปเรียนหนังสือในตัวเมือง ในขณะที่เพื่อนๆและญาติๆแถวบ้าน ยังนอนหลับสบายบนที่นอน เพราะเขาเรียนหนังสือโรงเรียนใกล้ๆบ้าน แต่สำหรับผมแล้วต้องตื่นแต่เช้าตั้งแต่เริ่มเรียนชั้นอนุบาล ยิ่งในฤดูหนาว อันแสนทรมาน ของเชียงใหม่ เมื่อ20-30ปี ที่แล้ว มันหนาวเข้าขั้วหัวใจสำหรับเด็กน้อยในขณะนั้น ยิ่ง ต้องผละจากที่นอนผ้าห่มอันแสนอบอุ่น ต้องมีลีลายืดยาด พอสมควร แต่ถึงยังไงก็ต้องรีบๆ เพราะเดี๋ยวรถเดือนจะมารอ มาถึงวันนี้.........ขอบคุณครับ พ่อ แม่ ที่ท่านได้ให้ความสำคัญแก่การศึกษาของลูก ถึงแม้ท่านทั้งสองไม่ได้เรียนมาสูงก็ตาม.......... ขอบคุณครับ ที่ให้ลูกได้เรียนรู้ชีวิต ของเด็กในเมือง และ เด็ก บ้านนอก หรือ นอกเมือง





ในวัยเด็ก......ผมมักจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมต้องตื่นเช้าๆ และ ต้องรีบแต่งตัวไปรอรถเดือน เพื่อเดินทางไปเรียนหนังสือในตัวเมือง ในขณะที่เพื่อนๆและญาติๆแถวบ้าน ยังนอนหลับสบายบนที่นอน เพราะเขาเรียนหนังสือโรงเรียนใกล้ๆบ้าน แต่สำหรับผมแล้วต้องตื่นแต่เช้าตั้งแต่เริ่มเรียนชั้นอนุบาล ยิ่งในฤดูหนาว อันแสนทรมาน ของเชียงใหม่ เมื่อ20-30ปี ที่แล้ว มันหนาวเข้าขั้วหัวใจสำหรับเด็กน้อยในขณะนั้น ยิ่ง ต้องผละจากที่นอนผ้าห่มอันแสนอบอุ่น ต้องมีลีลายืดยาด พอสมควร แต่ถึงยังไงก็ต้องรีบๆ เพราะเดี๋ยวรถเดือนจะมารอ มาถึงวันนี้.........ขอบคุณครับ พ่อ แม่ ที่ท่านได้ให้ความสำคัญแก่การศึกษาของลูก ถึงแม้ท่านทั้งสองไม่ได้เรียนมาสูงก็ตาม.......... ขอบคุณครับ ที่ให้ลูกได้เรียนรู้ชีวิต ของเด็กในเมือง และ เด็ก บ้านนอก หรือ นอกเมือง







และนั่นคือความโชคดีของผมซึ่งได้เรียนรู้ วิถีชีวิตของเด็กในเมือง และเด็ก บ้านนอก และในยุคนั้น ปัญหาเด็กติดเกมส์ นั้น ไม่มีครับเพราะเกมส์ไม่มีให้เล่น อย่างเก่งก็แค่เกมส์กด ป๊อบอาย หรือเกมส์ลิงรับกล้วย เลื่อนไปมา เกมส์เศรษฐี อะไรประมาณนี้ สำหรับ เด็กผู้ชาย จากท้องทุ่งอย่างผม ยิงนกตกปลาถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา สิ่งพิเศษในฤดูฝนอย่างงี้ ของเด็กๆในยุคนั้น(ที่เชียงใหม่) คือ.......กว่าง...ครับ สำหรับผู้ยังไม่รู้จัก กว่าง ขออธิบายลักษณะด้านล่างครับ กว่าง สำหรับผมแล้วถือว่าเป็นสิ่งเร้าที่ทำให้ตื่นเช้าเป็นพิเศษ ตื่นมาเพื่อดูว่าจะมีกว่างมาติดกับกว่างตัวแม่ที่ตั้งดักไว้ไหม แต่สำหรับเด็กน้อยอย่างผมก็แค่อยากเลี้ยง อยากมี ชนกันบ้างตามประสาเด็กๆ


และนั่นคือความโชคดีของผมซึ่งได้เรียนรู้ วิถีชีวิตของเด็กในเมือง และเด็ก บ้านนอก และในยุคนั้น ปัญหาเด็กติดเกมส์ นั้น ไม่มีครับเพราะเกมส์ไม่มีให้เล่น อย่างเก่งก็แค่เกมส์กด ป๊อบอาย หรือเกมส์ลิงรับกล้วย เลื่อนไปมา เกมส์เศรษฐี อะไรประมาณนี้ สำหรับ เด็กผู้ชาย จากท้องทุ่งอย่างผม ยิงนกตกปลาถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา สิ่งพิเศษในฤดูฝนอย่างงี้ ของเด็กๆในยุคนั้น(ที่เชียงใหม่) คือ.......กว่าง...ครับ สำหรับผู้ยังไม่รู้จัก กว่าง ขออธิบายลักษณะด้านล่างครับ กว่าง สำหรับผมแล้วถือว่าเป็นสิ่งเร้าที่ทำให้ตื่นเช้าเป็นพิเศษ ตื่นมาเพื่อดูว่าจะมีกว่างมาติดกับกว่างตัวแม่ที่ตั้งดักไว้ไหม แต่สำหรับเด็กน้อยอย่างผมก็แค่อยากเลี้ยง อยากมี ชนกันบ้างตามประสาเด็กๆ

ด้วงกว่างเฮอร์คิวลิส

ด้วงกว่างเฮอร์คิวลิส เป็นด้วงกว่างที่มีความยาวและความใหญ่ที่สุดในโลก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dynastes hercules อยู่ในวงศ์ Scarabaeidae พบกระจายพันธุ์ในป่าดิบชื้นตั้งแต่ภูมิภาคอเมริกากลางและทวีปอเมริกาใต้ นับเป็นด้วงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสกุล Dynastes ที่มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 6 ชนิด
เป็นด้วงที่มีความแตกต่างระหว่างตัวผู้กับตัวเมียมาก ตัวผู้มีเขายาว และมีความยาวตั้งแต่ปลายเขาจรดลำตัว 45-178 มิลลิเมตร ขณะที่ตัวเมียไม่มีเขา และมีความยาวเพียงครึ่งหนึ่งของตัวผู้ คือ 50-80 มิลลิเมตร
ด้วงกว่างเฮอร์คิวลิส มีชนิดย่อยทั้งหมด 13 ชนิด โดยชนิดที่มีความยาวที่สุด คือ D. h. hercules พบในเฟรนซ์ กัวดาลูเป้และโดมินิกา ที่ตัวผู้ยาวได้ถึง 178 มิลลิเมตร และมีบันทึกไว้ว่ายาวที่สุดคือ 220 มิลลิเมตร
ตัวหนอนกินซากผุของต้นไม้เป็นอาหาร และมีระยะการเป็นตัวหนอนยาวนานถึง 16 เดือน ด้วงกว่างเฮอร์คิวลิสนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงในต่างประเทศมาอย่างยาวนาน เช่นที่ ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ได้รับความนิยมโดยเฉพาะในหมู่เด็ก ๆ สำหรับในประเทศไทย ผู้ที่จะเลี้ยงยังต้องนำสั่งเข้ามาจากต่างประเทศ[1]แต่ในกลางเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 สามารถเพาะขยายพันธุ์เป็นผลสำเร็จครั้งแรกที่สวนแมลงแห่งหนึ่ง ที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

กว่าง นักรบแมลงแห่งเมืองเหนือ

หมูหิน.คอม พาเที่ยวชม “กว่าง”สุดยอดสัตว์แห่งขุนเขา สัตว์ที่ในเมืองหลวงไม่สามารถหาได้เจอ
คราวนี้ไม่ได้พาชิม แต่พาชนกว่างสัตว์ที่ทั่วโลกทึ่งครับ เส้นทางนี้เป็นเส้นทางแม่ริม-เชียงใหม่ เพราะถนนเส้นนี้เป็นเส้นท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ การวางมวยของกว่างสัตว์ของไทยแท้จึงเกิดขึ้นที่ถนนแม่ริม-เชียงใหม่เส้นนี้ เราชาวหมูหิน.คอม ลองมาเที่ยวชนกว่างกับชาวบ้านเค้าดูบ้าง เอ้า!ว่าแล้วก็เริ่มชนกว่างได้เลย